มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal Cancer)
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 3 ของคนไทย โดยมีระยะการเกิดมะเร็งเริ่มจากการเจริญเติบโตของเซลล์เยื่อบุผนังของลำไส้ใหญ่ ลำไส้ตรงผิดปกติ และพบว่าส่วนใหญ่มากกว่า 90% เริ่มจากเป็นติ่งเนื้อในลำไส้ (Polyp) เมื่อเวลาผ่านไปติ่งเนื้อนี้จะเจริญเติมโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด หากไม่ได้รับการรักษา มะเร็งอาจลุกลามหรือแพร่กระจายต่อไปยังอวัยวะอื่นๆ ได้เช่น ตับ ปอด เยื่อบุช่องท้อง สมอง หรือกระดูกได้
อาการ
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมะเร็ง อาจไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่ะจะพบว่ามีอาการเกี่ยวกับการขับถ่ายที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นอาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในระยะลุกลามแล้ว เช่น
- ท้องผูกมากขึ้น ถ่ายเป็นมูกเลือด
- ท้องผูกสลับกับท้องเสีย
- ถ่ายอุจจาระลำเล็กลง ลักษณะเปลี่ยน
- ปวดท้องเรื้อรัง ท้องอืด แน่นท้อง จุกเสียด มีลมในลำไส้มาก
- เหนื่อยเพลียจากภาวะซีด
- บางคนก็มีภาวะน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- คลำเจอก้อนได้ที่หน้าท้องในกรณีที่เป็นเยอะแล้ว
ดังนั้นผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติดังกล่าวจึงควรรีบมาพบแพทย์
สาเหตุ
จากการศึกษาในปัจจุบันยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ แต่ผู้ที่จะมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลักๆ คือ
- มีประวัติทางพันธุกรรม เช่น มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคทางพันธุกรรมบางชนิด
- โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory bowel disease)
- เคยฉายแสงในอุ้งเชิงกราน
- มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยง เช่น ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ รับประทานอาหารทอด ปิ้งย่าง ไขมันสูง เป็นต้น
การตรวจคัดกรอง
การตรวจคัดกรอง ให้ทำในผู้ที่ยังไม่มีอาการผิดปกติ ตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป หรือในกรณีที่มีความเสี่ยงตามที่กล่าวมาข้างต้น ควรตรวจคัดกรองในช่วงอายุที่น้อยลง ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยสามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางได้ก่อน โดยมีระยะเวลาการตรวจคัดกรองที่แนะนำดังนี้
- การตรวจหาเลือดในอุจจาระ(FIT test) ปีละครั้ง
- การเอกซเรย์ลำไส้ใหญ่โดยใส่แป้งเข้าทางทวารหนัก (Barium enema) ทำทุก 5 ปี
- การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้ใหญ่ (CT-Colonography) ทำทุก 5 ปี
- การตรวจโดยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ทำทุก10 ปี
การวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่
- การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) เพื่อดูตำแหน่งของรอยโรค
- การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) มาตรวจทางพยาธิวิทยา
- การตรวจเลือดเพื่อดูค่า CEA
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เพื่อดูการกระจายของโรคไปยังอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
- การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า Magnetic Resonance Imaging (MRI) ในบางกรณี เช่น มะเร็งลำไส้ตรง
การรักษา
การรักษาหลักในระยะที่ยังไม่มีการแพร่กระจาย คือการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก โดยเทคนิกการผ่าตัด ขึ้นกับตำแหน่งของก้อนเนื้อ ส่วนการให้เคมีบำบัดหรือการฉายแสงจะมีประโยชน์ในบางกรณีที่มีข้อบ่งชี้ ปัจจุบันการผ่าตัดมีสองวิธี คือ
1. การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง (Open surgery)
2. การผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Laparoscopic surgery)
ซึ่งการผ่าตัดแบบส่องกล้อง เป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการผ่าตัด ทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียง 5 -10 mm ประมาณ 4 แผล และแผลที่เปิดเพื่อเอาก้อนเนื้อออกขนาดประมาณ 4 - 5 cm โดยผลการรักษามะเร็งในระยะยาวไม่แตกต่างกับการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง แต่การผ่าตัดแบบส่องกล้องมีข้อดี คือ
- ผู้ป่วยจะเจ็บแผลน้อยกว่า และฟื้นตัวได้รวดเร็ว
- ผู้ป่วยนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลสั้นกว่าเดิม
สนับสนุนข้อมูลโดย : ผศ.นพ.ปุณวัฒน์ จันทรจำนง
ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ศูนย์ศัลยกรรม (General Surgery Center)
คลิก > โปรแกรมตรวจคัดกรองมะเร็ง