ไทรอยด์ – การผ่าตัดไทรอยด์: ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจรักษา
หลายคนอาจเคยสังเกตว่ามีก้อนนูนเล็ก ๆ ที่คอ หรือมีอาการเหนื่อยง่าย น้ำหนักเปลี่ยนแปลงโดยไม่ทราบสาเหตุ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของ โรคไทรอยด์ ซึ่งพบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทำงาน หากปล่อยทิ้งไว้อาจกระทบทั้งสุขภาพและคุณภาพชีวิต ในปัจจุบันการรักษามีความก้าวหน้าไปอย่างมาก ตั้งแต่การใช้ยา การผ่าตัดโดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล และที่โรงพยาบาลนวเวช เราพร้อมดูแลคุณด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย
ไทรอยด์คืออะไร ต่อมไทรอยด์ เป็นอวัยวะรูปผีเสื้อขนาดเล็กที่อยู่ใต้ลูกกระเดือก ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ควบคุมระบบเผาผลาญพลังงาน การทำงานของหัวใจ กล้ามเนื้อ และระบบประสาท หากต่อมนี้ทำงานผิดปกติ จะส่งผลต่อร่างกายเกือบทุกส่วน โดยเฉพาะ ระบบเผาผลาญพลังงาน (Metabolism)
โรคไทรอยด์และอาการที่พบบ่อย
- ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism)
อาการ: ขี้ร้อนผิดปกติ ใจสั่น น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ตาโปน คอโต - ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (Hypothyroidism)
อาการ: หนาวง่าย เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นช้า น้ำหนักเพิ่มขึ้นง่าย มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง - มะเร็งต่อมไทรอยด์ (Thyroid Cancer)
อาการ: มักไม่แสดงอาการผิดปกติของฮอร์โมน แต่สังเกตได้จากการมีก้อนผิดปกติที่คอ
กลุ่มเสี่ยงที่ควรใส่ใจ โรคไทรอยด์สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่มีบางกลุ่มที่พบได้บ่อยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผู้หญิงอายุระหว่าง 15–60 ปี ซึ่งมีโอกาสเป็นโรคไทรอยด์มากกว่าผู้ชายถึง 4 เท่า นอกจากนี้ ผู้ชายที่มีก้อนผิดปกติบริเวณลำคอถือเป็นอีกกลุ่มที่ควรให้ความสำคัญ เพราะอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ได้
การตรวจวินิจฉัยโรคไทรอยด์
- ตรวจด้วยตนเอง (Self-Check): เงยหน้า กลืนน้ำลาย คลำบริเวณคอ หากพบก้อนเนื้อที่เคลื่อนตามการกลืน ควรรีบพบแพทย์
- ตรวจเลือด: ตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์
- อัลตราซาวด์ (Ultrasound): ตรวจหาความผิดปกติของก้อนหรือต่อมไทรอยด์
- เจาะชิ้นเนื้อ (FNA): ตรวจชิ้นเนื้อหาความผิดปกติว่าเป็นมะเร็งไทรอยด์หรือไม่
แนวทางการรักษา การรักษาโรคไทรอยด์ในปัจจุบันมีหลายวิธี แพทย์จะพิจารณาเลือกให้เหมาะกับลักษณะโรคและสุขภาพของผู้ป่วยเป็นรายบุคคล เริ่มจากการใช้ยา ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานสำหรับผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนผิดปกติ หากรักษาด้วยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือเกิดภาวะดื้อยา แพทย์อาจแนะนำให้พิจารณาวิธีอื่น
1. การใช้ยา การใช้ยาถือเป็นแนวทางการรักษาเบื้องต้นที่สำคัญ โดยแพทย์จะเลือกชนิดของยาตามลักษณะความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ หากเป็นผู้มีภาวะไทรอยด์เป็นพิษ แพทย์จะพิจารณาการใช้ยาต้านไทรอยด์ (Antithyroid drugs) ซึ่งช่วยยับยั้งการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ ในส่วนผู้มีภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ แพทย์จะให้ยาฮอร์โมนทดแทน (Levothyroxine) เพื่อช่วยทดแทนภาวะพร่องฮอร์โมน
2. การผ่าตัดไทรอยด์ การผ่าตัดต่อมไทรอยด์เหมะสำหรับผู้ที่มีก้อนไทรอยด์ขนาดใหญ่ หรือสงสัยว่าเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ ผู้ที่มีภาวะไทรอยด์เป็นพิษที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล เป็นต้น โดยแบ่งเป็น 2 วิธีหลัก
2.1 การผ่าตัดแบบเปิด การผ่าตัดไทรอยด์แบบเปิดเป็นวิธีมาตรฐานที่ใช้มายาวนาน เหมาะกับผู้ที่มีก้อนไทรอยด์ทุกขนาดและผู้ป่วยมะเร็งต่อมไทรอยด์ที่ต้องผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองข้างลำด้วย แต่อาจจะมีข้อจำกัดบางประการเนื่องจากการผ่าตัดแบบเปิดจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้หลังจากทำหัตถการ ทำให้ผู้ป่วยต้องรักษารอยแผลเป็นเพิ่มเติม
- จะทิ้งรอยแผลเป็นบริเวณลำคอ
- ฟื้นตัวนานกว่า มีข้อจำกัดหลังผ่าตัด เช่น ห้ามโดนน้ำ 7–10 วัน
2.2 การผ่าตัดแบบส่องกล้อง (ผ่านช่องปาก) การผ่าตัดไทรอยด์แบบส่องกล้องผ่านช่องปาก เป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยลดบาดแผลและเพิ่มความมั่นใจด้านความสวยงาม โดยแพทย์จะสอดกล้องและอุปกรณ์ผ่าตัดขนาดเล็กผ่านช่องปาก แทนที่จะกรีดแผลบริเวณลำคอ วิธีนี้ช่วยลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อโดยรอบ ทำให้เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวเร็ว อีกทั้งยังลดความเสี่ยงต่อการผ่าโดนเส้นประสาทเสียง เพราะกล้องช่วยขยายขนาดเส้นประสาทเสียงให้เห็นชัดเจนขึ้น
- ลดการบาดเจ็บและเสียเลือดในการทำหัตถการ
- ฟื้นตัวเร็ว กลับไปทำงานได้เร็ว ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นบริเวณลำคอ
- ลดโอกาสการบาดเจ็บเส้นประสาทเสียง
- ระบุต่อมพาราไทรอยด์ได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงในการผ่าตัดถูกต่อมที่ไม่เกี่ยวข้อง
3. การใช้คลื่นไมโครเวฟ (Microwave Ablation) การสลายก้อนไทรอยด์ด้วยคลื่นไมโครเวฟ เป็นเทคโนโลยีการรักษาแบบใหม่ที่เหมาะกับผู้ที่มีก้อนไทรอยด์ชนิดไม่เป็นมะเร็งและมีขนาดไม่ใหญ่มาก โดยแพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กเจาะเข้าไปที่ก้อนไทรอยด์ภายใต้การทำงานร่วมกับเครื่องอัลตราซาวด์ แล้วปล่อยพลังงานคลื่นไมโครเวฟเข้าไป ทำให้เนื้อเยื่อก้อนร้อนขึ้นจนเกิดการสลายตัว และก้อนยุบตัวลงในที่สุด
- รักษาได้ผลดีกับก้อนไทรอยด์ที่ไม่ใช่มะเร็ง
- เจ็บบริเวณแผลน้อย ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
- ฟื้นตัวเร็ว สามารถกลับบ้านได้ทันที
- ลดความเสี่ยงแทรกซ้อน เช่น เสียงแหบหรือภาวะแคลเซียมต่ำ
การดูแลตนเองก่อนและหลังผ่าตัด หลังได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทางแล้ว สำหรับผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดไทรอยด์ทั้งแบบเปิดหรือส่องกล้อง ต้องเตรียมตัว ดังนี้
ก่อนผ่าตัด
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- รักษาระดับฮอร์โมนให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- งดอาหารและน้ำก่อนผ่าตัด เพื่อความปลอดภัยในการให้ยาสลบ
หลังผ่าตัด
- พักฟื้นที่โรงพยาบาล 1–2 คืน และรักษาตัว ณ ที่พักต่อ 4–7 วัน
- หลีกเลี่ยงการยกของหนักและการกระแทกที่คอ
- ห้ามแผลโดนน้ำ 7–10 วัน และงดเล่นกีฬาทางน้ำ 1 เดือน กรณีผ่าตัดแบบเปิด
- นวดคอบริเวณแผลเพื่อลดการเกิดพังผืด กรณีผ่าตัดส่องกล้องทางช่องปาก
- หากตัดต่อมไทรอยด์ทั้งหมด ต้องกินฮอร์โมนและแคลเซียมเสริม
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ภายใน 1–2 สัปดาห์ และคุณภาพชีวิตดีขึ้นหากปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด
ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดไทรอยด์ การผ่าตัดไทรอยด์ถือเป็นหัตถการที่ปลอดภัยสูงในปัจจุบัน แต่เช่นเดียวกับการผ่าตัดทั่วไป ย่อมมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้บ้าง โดยหลังจากการผ่าตัดอาจเกิดอาการข้างเคียงเหล่านี้ เช่น
- เสียงแหบหรือเสียงเปลี่ยน เนื่องจากเส้นประสาทกล่องเสียงอาจถูกกระทบชั่วคราว ส่วนใหญ่จะฟื้นกลับมาได้เองภายใน 6-12 เดือน กรณีเส้นประสาทไม่ได้ถูกตัดขาด
- ภาวะแคลเซียมต่ำ จากการที่ต่อมพาราไทรอยด์ซึ่งควบคุมแคลเซียมถูกกระทบ โดยส่วนใหญ่แก้ไขได้ด้วยการเสริมแคลเซียม
- ต้องรับประทานยาฮอร์โมนทดแทนตลอดชีวิต หากมีการตัดต่อมไทรอยด์ออกทั้งหมด ร่างกายจะไม่สามารถผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ได้เอง จึงจำเป็นต้องกินยาเสริมฮอร์โมน
การป้องกันและข้อควรรู้ โรคไทรอยด์ไม่สามารถป้องกันได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและอายุ แต่การตรวจสุขภาพประจำปีและการสังเกตความผิดปกติของลำคอ จะช่วยให้ตรวจพบได้เร็ว และรักษาได้อย่างทันท่วงที
สรุป ต่อมไทรอยด์แม้จะเป็นอวัยวะขนาดเล็ก แต่มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของร่างกาย ความผิดปกติของไทรอยด์ในแต่ละชนิด มีลักษณะและวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ปัจจุบันการรักษามีหลายทางเลือก ตั้งแต่การใช้ยา การผ่าตัดแบบดั้งเดิมและการผ่าตัดส่องกล้อง ไปจนถึงเทคโนโลยีใหม่อย่างการใช้คลื่นไมโครเวฟเพื่อสลายก้อนไทรอยด์
หากคุณมีอาการสงสัยเกี่ยวกับไทรอยด์ สามารถติดต่อปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โทร1507 (ติดต่อศูนย์ศัลยกรรม นพ.ธัญวัจน์) โรงพยาบาลนวเวช เพื่อรับการประเมินจากแพทย์เฉพาะทาง