โรคผิวหนังที่พบบ่อย และวิธีดูแลเบื้องต้นเพื่อไม่ให้โรคลุกลาม

แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ โรคผิวหนังกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย กลุ่มโรคผิวหนังที่มาจากการติดเชื้อ กลุ่มโรคผิวหนังจากแสงแดด และกลุ่มโรคเกี่ยวกับผมและหนังศีรษะ

 

1. กลุ่มโรคผิวหนังที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โรคผิวหนังในกลุ่มนี้ ได้แก่
 

ผื่นผิวหนังอักเสบ ผื่นผิวหนังอักเสบคือ การอักเสบแดงคันของผิวหนังที่เกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยมักมีอาการเป็นผื่นคัน ขุย แดง อักเสบ หรือมีน้ำเหลืองแฉะได้ ขึ้นกับระยะที่เป็นผื่นผิวหนังอักเสบมีสาเหตุคือการกระตุ้นจากปัจจัยภายในหรือภายนอกก็ได้ 

 

ตัวอย่างโรคผิวหนังในกลุ่มนี้ เช่น โรคผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic dermatitis) ซึ่งพบบ่อยในเด็ก ผื่นแพ้จากต่อมไขมันหรือเซบเดิร์ม (Seborrheic dermatitis) ผื่นแพ้ส้มผัส (Contact dermatitis) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาการอักเสบของผิวหนังหลังสัมผัสกับสารบางอย่างหากได้รับการดูแลไม่เหมาะสมก็อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียตามมาได้ การรักษาโรคผิวหนังกลุ่มนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุ แนวทางปฏิบัติตัวอย่างกว้างๆ ได้แก่ เลี่ยงการสัมผัสสารที่เป็นสาเหตุ การบำรุงผิว การทายาลดการอักเสบตามแพทย์สั่ง

 

ลมพิษ ลมพิษมีลักษณะเป็นผื่นแดงคัน บวม หรือเป็นปื้น ขึ้นตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย ผื่นมักอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง และหายไปแบบไม่ทิ้งร่องรอย นอกจากนี้บางรายยังอาจมีปากบวมตาบวมร่วมด้วยได้ (Angioedema) ลมพิษอาจเป็นขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน หรือบางรายอาจเรื้อรัง (เป็นนานเกิน 6 สัปดาห์) ซึ่งสาเหตุจะแตกต่างกันไป แต่อาจเป็นโดยไม่ทราบสาเหตุได้บ่อย นอกจากนี้ลมพิษอาจเกิดจากการแพ้อาหาร แพ้ยา แมลงสัตว์กัดต่อย เจ็บป่วยติดเชื้อบางอย่าง ส่วนลมพิษเรื้อรังก็อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ที่อาจต้องมีการส่งตรวจเพิ่มเติมร่วมด้วยตามแต่แพทย์พิจารณา 


นอกจากนี้ลมพิษยังอาจเกิดจากปัจจัยทางกายภาพอื่นๆ เช่น การเสียดสี แรงกดทับ การออกกำลังกาย ความร้อน ความเย็น ซึ่งจะมีวิธีการทดสอบเพื่อพิสูจน์ที่แตกต่างกันไป อาจต้องมีการตรวจทดสอบหาสาเหตุลมพิษโดยการสะกิดผิวหรือตรวจเลือดเพิ่มเติมได้ การรักษาโรคผิวหนังชนิดนี้เริ่มต้นจากใช้ยาแก้แพ้ชนิดรับประทานเป็นหลัก แต่ควรปรับโดยแพทย์ และหากมีอาการปากบวมตาบวมร่วมด้วยควรรีบไปรับการรักษา เพราะบางครั้งอาจมีอาการบวมบริเวณทางเดินหายใจทำให้หายใจลำบากและเป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องรักษาอย่างเร็วที่สุด

 

2. กลุ่มโรคผิวหนังที่มาจากการติดเชื้อ เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น ทำให้อาจมีผลในเรื่องของความชุกในการเกิดโรคที่เกี่ยวกับการติดเชื้อได้มากกว่าในต่างประเทศ รวมทั้งโรคติดเชื้อที่ผิวหนังด้วย เช่น
 

เริม เป็นโรคผิวหนังจากไวรัสที่สามารถเกิดได้ตามที่ใดๆ ในร่างกาย แต่ที่พบบ่อยคือที่บริเวณริมฝีปาก หรืออวัยวะเพศ ลักษณะจะเป็นตุ่มน้ำใสขึ้นบนพื้นสีแดง อยู่เป็นกลุ่มๆ อาจมีอาการเจ็บแสบ สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางการสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อ และจะติดกันง่ายขึ้นหรือแสดงอาการได้บ่อยขึ้นหากมีภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ เครียด พักผ่อนน้อย หรือมีอาการเจ็บป่วยทางกายอื่นๆ


การรักษาโรคผิวหนัง เริมจะใช้ยาชนิดรับประทานเป็นหลัก โดยขนาดและระยะเวลาอาจแตกต่างกันไป

 

งูสวัด โรคงูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอีสุกอีใส ซึ่งแฝงตัวในเส้นประสาท และอาจทำให้เกิดงูสวัดในเวลาต่อมาโดยเฉพาะเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลงสามารถติดต่อกันทางการสัมผัส หรือแม้แต่ทางลมหายใจ ในกรณีที่เป็นรุนแรง ผื่นงูสวัดมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใสขึ้นบนพื้นสีแดง อยู่เป็นกลุ่มๆ มักอยู่ตามแนวเส้นประสาทของร่างกาย ผู้เป็นโรคผิวหนัง งูสวัดจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน โดยอาการปวดนี้สามารถอยู่ได้นาน ในบางรายแม้ผื่นจะหายไปแล้วก็ยังคงปวดอยู่   การเกิดงูสวัดที่ใบหน้าหรือศีรษะในบางรายอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับตาหรือหูได้      


การรักษางูสวัดจะใช้ยาชนิดรับประทาน และการดูแลแผลที่ถูกต้อง เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคงูสวัดด้วย

 

หูด เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำให้ผิวหนังเกิดเป็นตุ่มหนาตัวขึ้น ไม่มีอาการ แต่ลามมากขึ้นได้ สามารถเกิดที่ผิวหนังบริเวณใดของร่างกายก็ได้ หรือที่ที่พบบ่อย เช่น บริเวณมือกับเท้า 

 

นอกจากนี้ยังเกิดที่บริเวณอวัยวะเพศได้ด้วย จะติดได้ง่ายบนผิวหนังที่มีแผลหรือผิวที่บอบบาง โดยโอกาสในการติดเชื้อจะขึ้นกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ควรรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้หูดโตขึ้นหรือลามมากขึ้น ซึ่งการรักษามีหลากหลายวิธี ขึ้นกับลักษณะและบริเวณที่เป็นไม่ควรพยายามกำจัดหูดเอง เพราะบางครั้งอาจยิ่งทำให้ลามขึ้นได้ คนไข้ควรตัดเล็บให้สั้นและไม่แกะหูด เพราะอาจลามไปติดที่อื่น

 

กลาก เป็นการติดเชื้อราที่ผิวหนังบริเวณต่างๆ ในร่างกาย เส้นผม หรือเล็บ การติดเชื้อกลากในแต่ละบริเวณของผิวหนังอาจมีชื่อเรียกภาษาไทยที่แตกต่างกันไป เช่นการติดเชื้อกลากในร่มผ้ามัก เรียกว่า สังคัง การติดเชื้อกลากที่ฝ่าเท้าหรือตามง่ามนิ้วเท้า เรียกว่า ฮ่องกงฟุต โรคกลากที่หนังสีรษะในเด็กที่มีอาการอักเสบรุนแรงหรือฝีหนอง มักเรียกว่า ชันนะตุ ผู้ที่เป็นโรคผิวหนัง กลาก อาจติดเชื้อมาจากการคลุกคลีกับสัตว์หรือการย่ำดิน


อาการของกลากอาจมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละบริเวณ เช่น กลากที่ผิวหนังมักมีลักษณะแดงเป็นวงนูน ขอบเขตชัดเจน มีขุย หากเป็นกลากบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้ามักมีอาการเพียงขุยๆ หรือบางรายอาจมีตุ่มน้ำ หากเป็นกลากที่เล็บ จะทำให้เล็บหนาหรือมีสีผิดปกติได้


การรักษาโรคผิวหนัง กลาก อาจทำการขูดส่งตรวจเชื้อสาเหตุก่อนแล้วจึงเริ่มรักษา โดยแต่ละบริเวณใช้ยาฆ่าเชื้อราต่างชนิดกัน โดยแพทย์เป็นผู้สั่งจ่าย โดยทั่วไปการรักษาเชื้อราที่เล็บจะใช้เวลาค่อนข้างนาน

 

เกลื้อน ความจริงแล้ว เชื้อเกลื้อนเป็นเชื้อที่มีอยู่บนผิวหนังตามปกติของคนเรา แต่จะก่อโรคเป็นเกลื้อนเมื่อมีสภาพแวดล้อมบางอย่าง เช่น ความมันและความอับชื้น จึงมักเกิดบริเวณผิวที่มีความมัน เช่น แผ่นหลัง อก คอ แขนท่อนบน อาจมีผื่นเป็นวงๆ หรือรวมเป็นปื้น มีขุยเล็กๆ มีสีต่างๆ ได้หลายสี เช่น สีขาว สีชมพู สีน้ำตาล สีแดง


การดูแลตนเองเบื้องต้นคือการใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ไม่อับชื้น ก่อนเริ่มรักษามักต้องขูดตรวจทางห้องปฏิบัติการก่อนว่าพบเชื้อเกลื้อนจริง การรักษามักใช้ยาฆ่าเชื้อรา โดยมักเริ่มด้วยยาชนิดทาหรือฟอก ยาบางตัวอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่ผิวได้หากใช้อย่างไม่ถูกต้อง จึงควรพบแพทย์ก่อนรักษา

 

สิว การเกิดสิวมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ Cutibacterium acnes (ชื่อเดิม Propionibacterium acnes) แต่จริงๆ ยังมีอีก 3 ปัจจัยที่ทำให้เป็นสิวได้เช่นกัน ได้แก่ ต่อมใต้ผิวหนังผลิตความมันมากเกินไป รูขุมขนมีการสร้างเคอราตินมาปกคลุมที่มากเกินไป ทำให้เกิดการอุดตัน


ปฏิกิริยาการอักเสบ สิว มีอาการได้หลากหลาย ตั้งแต่เป็นสิวอุดตันหัวปิดหรือหัวเปิด สิวอักเสบ สิวหัวช้าง หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดรอยดำหรือหลุมสิว ซึ่งอาจรักษายาก ดังนั้นจึงควรดูแลรักษาสิวตั้งแต่เนิ่นๆ


อย่างไรก็ตาม ไม่ควรซื้อยาใช้เอง เนื่องจากยารักษาสิวโดยส่วนใหญ่อาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง หรือดื้อยาได้หากใช้ไม่ถูกวิธี และอาจต้องมีการติดตามการรักษากันระยะหนึ่ง เบื้องต้นคนไข้ไม่ควรแกะสิวหรือบีบสิว รวมถึงไม่ควรล้างหน้าบ่อยๆ หรือขัดถูใบหน้า

 

 

3. กลุ่มโรคผิวหนังจากแสงแดด เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อนที่มีแสงแดดค่อนข้างมาก ปัญหาจุดด่างดำต่างๆ และปัญหาผิวที่เกิดจากแสงแดด ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มปัญหาที่พบบ่อย เช่น ฝ้า กระ และกระเนื้อ การรักษาควรได้รับการตรวจประเมินโดยแพทย์ เนื่องจากโดยส่วนใหญ่มักมีหลายปัญหาร่วมกัน แล้วแพทย์จึงจะกำหนดแนวทางการรักษาอย่างถูกต้อง มิฉะนั้นอาจทำให้บางปัญหายิ่งแย่ลงได้


การดูแลตนเองเบื้องต้นคือการหลีกเลี่ยงแสงแดด ใช้ครีมกันแดด SPF สูงอย่างถูกวิธี โดยทั่วไปแนะนำให้ทาครีมกันแดดที่เป็นเนื้อครีมในปริมาณสองข้อนิ้วมือต่อใบหน้า หรือหากเป็นเนื้อโลชันให้ทาปริมาณเท่ากับเหรียญสิบบาท 2 เหรียญต่อใบหน้า และควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงหากออกแดดซ้ำ เพื่อป้องกันปัญหาผิวที่เกิดจากแสงแดด

 

 

4.กลุ่มโรคเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นบริเวณเส้นผมและหนังศีรษะ เป็นส่วนหนึ่งของโรคผิวหนังเช่นกัน ที่พบได้บ่อยๆ ได้แก่
 

รังแค ปัญหารังแคนับรวมตั้งแต่มีผื่นผิวหนังอักเสบที่หนังศีรษะซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของโรคผื่นแพ้จากต่อมไขมันหรือเซ็บเดิร์ม มีอาการหลุดลอกของหนังศีรษะเป็นขุย หรือรังแคอาจมีอาการคัน แดง  การดูแลเบื้องต้นคือการใช้แชมพูที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกับหนังศีรษะ และอาจต้องใช้ยาทาลดการอักเสบตามแพทย์สั่งร่วมด้วย

 

ผมร่วง เรื่องผมร่วงนั้นเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ที่พบบ่อยที่สุดมักมาจากกรรมพันธุ์ ร่วมกับอาจมีภาวะฮอร์โมนเพศชายมากกว่าปกติ (Androgenetic alopecia) ซึ่งควรรักษาให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ผมยิ่งบางลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป โดยทั่วไปมักเริ่มการรักษาด้วยยา โดยยาที่ใช้มีตั้งแต่ยาทาบางชนิด และยาชนิดรับประทานในคนไข้เพศชายเนื่องจากเป็นยาที่ลดฮอร์โมนเพศชายที่มีผลต่อโรคผมบาง ซึ่งการรักษาดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์ สำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผมโดยทั่วไปที่ไม่ใช่การรักษามาตรฐานเพียงอย่างเดียว มักไม่สามารถทำให้ผมกลับมาหนาดังเดิมได้ และอาจทำให้ได้รับการรักษาล่าช้าและผมยิ่งบางลง จึงแนะนำปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเผื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด


นอกจากตัวอย่างโรคผิวหนังในกลุ่มต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว แพทย์ผิวหนังเฉพาะทางยังสามารถทำการดูแลรักษาผื่นผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกด้วย  เช่น ซิฟิลิส เริม หนองใน ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นกลุ่มโรคที่พบบ่อย แต่เนื่องจากเป็นบริเวณที่ลับ ทำให้คนไข้มักไม่กล้ามารักษา    แนะนำว่าควรรีบรักษาและติดตามกับแพทย์เพื่อลดโอกาสภาวะแทรกซ้อนและอันตรายจากการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง

 

สนับสนุนข้อมูลโดย : พญ.วัสริน นาถประชา 

ตจวิทยา ผิวหนัง ศูนย์สุขภาพผิว