รู้จักโรคตาบอดสี และข้อจำกัดในการใช้ชีวิต
ตาบอดสี หรือที่เรียกว่า ภาวะการมองเห็นสีผิดปกติ (Color Vision Deficiency) เป็นภาวะที่พบได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในผู้ชาย แม้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยตรง แต่สามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในหลายด้าน เช่น การเรียน การทำงาน และความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน
ภาวะตาบอดสีเกิดจากความผิดปกติของ เซลล์รับแสงในจอประสาทตา (cones) ซึ่งมีหน้าที่ในการรับรู้สี โดยมักถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้ผู้ป่วยมองเห็นสีบางสีผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เช่น มองสีแดงเป็นน้ำตาล หรือสีเขียวเป็นสีเทา
สาเหตุของโรคตาบอดสี ภาวะตาบอดสีอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งที่เป็นมาแต่กำเนิดหรือเกิดขึ้นภายหลัง ได้แก่
- กรรมพันธุ์: สาเหตุหลัก พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในเพศชาย (ประมาณ 7%) และในเพศหญิง (ประมาณ 0.5-1%) มักเป็นการบอดสีเขียวหรือสีแดง
- อายุ: เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์รับแสงอาจเสื่อมตามวัย
- โรคเกี่ยวกับดวงตา: เช่น ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม ต้อกระจก
- โรคทางระบบอื่น: เช่น โรคอัลไซเมอร์ เบาหวาน พาร์กินสัน
- สาเหตุอื่นๆ: อุบัติเหตุกระทบดวงตา การสัมผัสสารเคมีเรื้อรัง หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยารักษาวัณโรค
ประเภทของตาบอดสีที่พบบ่อย
1. ตาบอดสีแดง-เขียว (Red-Green Color Blindness) พบมากที่สุด โดยเฉพาะในผู้ชาย เกิดจากความผิดปกติของเซลล์รับแสงที่ไวต่อสีแดง (L-cones) หรือสีเขียว (M-cones)
อาการ
- มองสีแดงเป็นน้ำตาล เทา หรือเขียว
- มองสีเขียวเป็นเหลือง น้ำตาล หรือเทา
- แยกแยะผลไม้สุกกับดิบ หรืออ่านแผนภูมิที่ใช้สีแดง-เขียวได้ลำบาก
แบ่งย่อยเป็น 2 กลุ่ม
- Protan-type: ผิดปกติเกี่ยวกับเซลล์รับสีแดง
- Deutan-type: ผิดปกติเกี่ยวกับเซลล์รับสีเขียว
2. ตาบอดสีน้ำเงิน-เหลือง (Blue-Yellow Color Blindness) พบได้น้อยกว่าแบบแดง-เขียว เกิดจากความผิดปกติของเซลล์รับแสงที่ไวต่อสีน้ำเงิน (S-cones)
อาการ
- มองสีฟ้าเป็นสีเขียว
- มองสีเหลืองเป็นสีเทาหรือชมพูอ่อน
- สับสนระหว่างสีน้ำเงินกับม่วง หรือเขียวกับน้ำเงิน
แบ่งย่อยเป็น 2 กลุ่ม
- Tritanomaly: การแยกแยะสีน้ำเงินลดลง
- Tritanopia: มองไม่เห็นสีน้ำเงินเลย
3. ตาบอดสีทั้งหมด (Achromatopsia) ภาวะที่พบได้น้อยและรุนแรงที่สุด ผู้ป่วยมองโลกในเฉดขาว ดำ และเทา เหมือนภาพถ่ายขาวดำ
อาการ
- มองเห็นโลกเป็นสีขาวดำทั้งหมด
- ไวต่อแสง (photophobia)
- การมองเห็นโดยรวมลดลง
- เกิดจากความผิดปกติของเซลล์รับสีทั้ง 3 กลุ่ม
ผลกระทบต่อการใช้ชีวิต
- มีข้อจำกัดในการเลือกอาชีพบางประเภท เช่น นักบิน ทหาร วิศวกรไฟฟ้า
- อาจมองสัญญาณไฟจราจรผิด หากไม่อาศัยความคุ้นเคย
- สับสนเมื่อต้องใช้แผนภูมิหรือกราฟที่มีสีเป็นตัวแยกข้อมูล
- มีปัญหาในการเลือกเสื้อผ้า สีของอาหาร หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ตาบอดสีรักษาได้หรือไม่?
- กรณีเป็นตั้งแต่กำเนิด (กรรมพันธุ์): ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่อาจใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ ที่ช่วยกรองสีบางสี ทำให้แยกแยะสีได้ดีขึ้น
- กรณีเกิดภายหลัง: ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวางแผนการรักษา
หมายเหตุ: แว่นหรือคอนแทคเลนส์ที่ช่วยในการแยกสี ไม่สามารถทำให้เห็นสีได้เหมือนคนทั่วไป
ตาบอดสีกับการทำเลสิค (LASIK) ผู้ที่เป็นตาบอดสียังสามารถทำเลสิคได้เช่นเดียวกับผู้มีการมองเห็นสีปกติ เนื่องจากเลสิคเป็นการรักษาภาวะสายตาสั้น ยาว หรือเอียงเท่านั้น ไม่สามารถรักษาตาบอดสีได้
การตรวจวินิจฉัยและคำแนะนำ
- แนะนำให้ ตรวจคัดกรองตาบอดสีตั้งแต่อายุ 4 ขวบครึ่ง เพื่อป้องกันความเครียดเมื่อต้องรับรู้ว่าตนเองมีข้อจำกัดด้านสีในภายหลัง
- หากมีประวัติครอบครัวเป็นตาบอดสี หรือสงสัยว่าตนเองมีปัญหาเรื่องการเห็นสี ควรเข้ารับการตรวจโดยจักษุแพทย์
- การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี ควรรวมการตรวจตาบอดสีด้วย โดยเฉพาะในเด็กที่มีพ่อหรือแม่เป็นตาบอดสี
- ผู้ปกครองควรแจ้งคุณครู โรงเรียน ห้องพยาบาล หากเด็กมีภาวะตาบอดสี เพื่อให้การดูแลในห้องเรียน เช่น การเลือกตำแหน่งที่นั่ง และการเลือกใช้สีในการเรียนการสอน