สนุกกับวันวาเลนไทน์อย่างไร....ให้ห่างไกลโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
Valentine’s day วันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ เดิมทีคือวันรำลึกถึงนักบุญวาเลนไทน์ในศาสนาคริสต์ เมื่อเวลาผ่านไปวันวาเลนไทน์นี้จึงค่อย ๆ กลายเป็นวันที่เเสดงออกถึงความรักซึ่งกันและกัน ในช่วงใกล้ เทศกาลวาเลนไทน์นี้ จึงอยากประชาสัมพันธ์ให้วัยรุ่น คู่รัก ตระหนักถึงการมีเพศสัมพันธ์ให้ปลอดภัย เช่น ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อลดความเสี่ยง งดการมีเพศสัมพันธ์ในช่องทางอื่นๆ เช่น ปาก ทวารหนัก ไม่ใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาด หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กันบุคคลที่เพิ่งรู้จัก หรือผู้ที่ติดเชื้อ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และหมั่นรักษาความสะอาดร่างกายเเละอวัยวะเพศอยู่เสมอ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ STDs (Sexual transmitted diseases) สามารถติดต่อ ได้แม้ไม่มีการสอดใส่ หรือแม้แต่สวมถุงยางอนามัยร่วมด้วยแล้ว ในบางรายอาจได้รับเชื้อโดยไม่รู้ตัว และไม่มีอาการแสดง ทำให้เข้ารับการตรวจรักษาช้า จนอาจเกิดความผิดปกติที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น ติดเชื้อรุนแรงที่บริเวณท่อนำไข่ รังไข่ หรือมดลูกจนต้องเข้ารับการผ่าตัด, เชื้อส่งต่อจากมารดาไปยังทารกในครรภ์ ส่งผลให้ทารกมีความผิดปกติแต่กำเนิด หรือเชื้อสามารถทำให้เซลล์เกิดความผิดปกติ กลายเป็นมะเร็งในอนาคตได้
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นมีหลายชนิด บางชนิดอาจไม่มีอาการใดแต่ตรวจสุขภาพแล้วบังเอิญพบเชื้อ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย ได้แก่
1. หนองในแท้-เทียม (Gonorrhea, Chlamydia) มีอาการตกขาว แสบขณะปัสสาวะ หากติดเชื้อรุนแรงอาจมีหนองไหลออกมาจากช่องทางปัสสาวะ-ช่องคลอด หรือมีอาการปวดอุ้งเชิงกราน ไข้ขึ้นสูง ร่วมด้วยได้
2. เชื้อเริม (Herpes simplex virus) มีกลุ่มของตุ่ม ผื่น หรือแผลบริเวณอวัยวะเพศ-ปาก มีอาการเจ็บ เเสบร้อน รอยโรคมักเป็น ๆหาย ๆ ไม่สามารถหายขาดได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสจะหลบซ่อนอยู่บริเวณปมประสาทในร่างกาย
3. เชื้อเอชไอวี (Human immunodeficiency virus) มักไม่แสดงอาการในช่วงแรก การติดเชื้อจะทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง สามารถติดเชื้ออื่นๆ แทรกซ้อนได้ง่าย เช่น โรคปอดอักเสบติดเชื้อรุนแรง โรควัณโรค
4. เชื้อเอชพีวี (Human papilloma virus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เมื่อติดเชื้อในช่วงแรกจะไม่มีอาการแสดง แต่อาจทำให้เซลล์ที่เคยปกติเปลี่ยนแปลงไปเป็นรอยโรคก่อนมะเร็ง หรือมะเร็งได้
5. ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B virus) เมื่อติดเชื้อแล้วมักไม่มีอาการแสดงในระยะเเรก แต่เชื้ออาจทำให้เกิดตับอักเสบ ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือมะเร็งตับในอนาคตได้
6. เชื้อโปรโตซัว (Trichomonas vaginalis) มักมีอาการตกขาวสีเขียว-เหลือง มีกลิ่น คันช่องคลอด หรือปัสสาวะขัดได้
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อันตรายหากไม่ตระหนักถึงการป้องกันและรักษา แนะนำหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงติดโรคทางเพศสัมพันธ์ พกถุงยางอนามัยพร้อมใช้ หากมีความเสี่ยง หรือมีอาการให้ตรวจพบแพทย์ และหากเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ให้เข้ารับการรักษาทันที เพื่อลดความเสี่ยงการส่งผลเสียต่อสุขภาพระยะยาว บทความให้ความรู้โดย แพทย์หญิงศันสนีย์ อังสถาพร (ว.49688) สูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งวิทยานรีเวช ศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลนวเวช กรณีหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดและขอรับคำปรึกษาได้ที่ ศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลนวเวช โทร.1507 Line: @navavej