มะเร็งเต้านมแบบที่ไม่ต้องใช้ยาเคมีบำบัด: ทางเลือกใหม่ในการรักษา
มะเร็งเต้านมเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิงทั่วโลก การรักษาในอดีตมักพึ่งพายาเคมีบำบัด (Chemotherapy) เป็นหลัก แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ปัจจุบันมีการพัฒนาแนวทางการรักษาที่ช่วยให้ผู้ป่วยบางรายสามารถหลีกเลี่ยงยาเคมีบำบัดได้อย่างปลอดภัย บทความนี้จะอธิบายถึงแนวทางการรักษาโดยไม่ใช้ยาเคมีบำบัด รวมถึงข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการประเมินความเสี่ยงและการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม
การรักษามะเร็งเต้านมโดยไม่ใช้ยาเคมีบำบัด
1. การผ่าตัดเต้านม (Surgery) การผ่าตัดเป็นวิธีหลักสำหรับมะเร็งเต้านมระยะแรก โดยอาจเป็นการผ่าตัดแบบสงวนเต้านม (Breast-Conserving Surgery) หรือที่เรียกว่า Lumpectomy ซึ่งเป็นการผ่าตัดเฉพาะจุดเพื่อเอาเนื้องอกออก พร้อมคงรูปร่างของเต้านมไว้ หรือตัดเต้านมทั้งข้าง (Mastectomy) หลังการผ่าตัด แพทย์จะพิจารณาความจำเป็นในการรักษาเพิ่มเติมตามลักษณะของก้อนมะเร็งและปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วย
2. การฉายรังสี (Radiation Therapy) การฉายรังสีช่วยกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่หลังการผ่าตัด ลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ โดยมีข้อบ่งชี้หลักในการฉายรังสีดังนี้
- การผ่าตัดเป็นแบบสงวนเต้านม (Breast-Conserving Surgery): การผ่าตัดแบบสงวนเต้านมและการฉายแสงหลังผ่าตัดมีโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านมใกล้เคียงกับการผ่าตัดออกทั้งข้าง (Mastectomy) แต่หากไม่ฉายแสงหลังการผ่าตัดแบบสงวนเต้านม จะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูงขึ้นอย่างชัดเจน
- ขนาดก้อนมะเร็งเต้านมใหญ่กว่า 4 ซม.: ขนาดของก้อนที่ใหญ่ขึ้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำที่เพิ่มขึ้น
- การกระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง: การที่มีก้อนมะเร็งขนาดใหญ่หรือมีการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองส่งผลให้ความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำและการแพร่กระจายสูงขึ้น การฉายรังสีในกรณีนี้สามารถช่วยลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำได้อย่างมีนัยสำคัญ
3. การรักษาด้วยยาฮอร์โมน (Hormonal Therapy) มะเร็งเต้านมชนิดที่ตอบสนองต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน (Hormone Receptor-Positive Breast Cancer) สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านฮอร์โมน เช่น Tamoxifen หรือยากลุ่ม Aromatase Inhibitors การรักษานี้ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งโดยลดระดับฮอร์โมนในร่างกาย
4. การรักษาด้วยยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) การรักษามะเร็งเต้านมชนิดที่มีการแสดงออกของตัวรับ HER2 บนผิวเซลล์ (HER2-positive Breast Cancer) เป็นการใช้ยามุ่งเป้า เช่น Trastuzumab (Herceptin) และ Pertuzumab (Perjetra) ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงต่อการจับกับตัวรับ HER2 ที่อยู่บนเซลล์ผิวของมะเร็งเต้านมที่มีการแสดงออกของตัวรับนี้ โดยยามุ่งเป้าเหล่านี้ถือเป็นส่วนจำเป็นในการรักษา ในช่วงแรกจะใช้พร้อมกับยาเคมีบำบัด และ ใช้ยามุ่งเป้ารักษาต่อเนื่องจนครบ 1 ปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและลดการกลับเป็นซ้ำของมะเร็ง
การประเมินความจำเป็นในการใช้ยาเคมีบำบัด ปัจจัยสำคัญในการพิจารณา
1. ER, PR, HER2, และ Ki-67
- ER (Estrogen Receptor) และ PR (Progesterone Receptor): มะเร็งที่มี ER/PR-positive มักตอบสนองดีต่อการรักษาด้วยฮอร์โมน และมีโอกาสหลีกเลี่ยงยาเคมีบำบัดได้มากขึ้น
- HER2: มะเร็ง HER2-positive มีตัวเลือกการรักษาด้วยยามุ่งเป้า เช่น Trastuzumab (Herceptin) และ Pertuzumab (Perjetra) ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้พร้อมกับยาเคมีบำบัด
- Ki-67: ตัวบ่งชี้การแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ค่า Ki-67 ต่ำแสดงถึงการเติบโตที่ช้าของมะเร็งและความเสี่ยงที่ต่ำลง
2. Clinical Score
- ขนาดของก้อนมะเร็งและจำนวนต่อมน้ำเหลืองที่มะเร็งแพร่กระจายเป็นปัจจัยสำคัญ หากขนาดก้อนเล็กกว่า 2 ซม. และไม่มีการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง โอกาสหลีกเลี่ยงการใช้ยาเคมีบำบัดจะสูง
- หากมีก้อนมะเร็งที่ใหญ่ขึ้นหรือการกระจายไปต่อมน้ำเหลือง ความจำเป็นในการใช้เคมีบำบัดจะเพิ่มขึ้น
Breast Cancer Recurrence Score: การตรวจเพื่อช่วยตัดสินใจ ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีทางพันธุกรรมช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม (Recurrence) รวมถึงความจำเป็นในการใช้ยาเคมีบำบัดได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งมีการใช้การทดสอบทางพันธุกรรมหลายประเภทที่ช่วยในการตัดสินใจการรักษา ดังนี้
1. Oncotype DX การทดสอบนี้จะประเมินค่า Recurrence Score (คะแนนความเสี่ยงของการกลับเป็นซ้ำ) โดยมีช่วงคะแนนระหว่าง 0-100 โดยผู้ป่วยที่มีคะแนนต่ำกว่า 25 (ในผู้ป่วยที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนหรือ Postmenopausal) มักไม่จำเป็นต้องใช้ยาเคมีบำบัด เนื่องจากผลการทดสอบแสดงว่าโอกาสในการกลับเป็นซ้ำน้อย
2. MammaPrint การทดสอบนี้จำแนกผู้ป่วยออกเป็นสองกลุ่มหลัก คือ กลุ่มความเสี่ยงสูง และ กลุ่มความเสี่ยงต่ำ ซึ่งผลการทดสอบนี้สามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่ำสามารถหลีกเลี่ยงการใช้ยาเคมีบำบัดได้ เนื่องจากความเสี่ยงในการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งต่ำ
3. EndoPredict การทดสอบนี้จะวิเคราะห์ยีนที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านมและให้คะแนน EPclin Score ซึ่งช่วยในการพยากรณ์ความเสี่ยงในระยะยาวของการกลับเป็นซ้ำได้ดี โดยสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตัดสินใจรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. PAM50 (Prosigna) การทดสอบนี้ใช้ข้อมูลการแสดงออกของยีน 50 ชนิดในการจัดกลุ่มมะเร็งเต้านมเป็น Subtypes ที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถประเมินความเสี่ยงของการกลับเป็นซ้ำในระยะ 10 ปีได้อย่างแม่นยำ
5. GenesWell BCT การทดสอบระดับโมเลกุลนี้ช่วยในการพยากรณ์โอกาสในการกลับเป็นซ้ำในผู้ป่วยระยะแรก โดยช่วยแพทย์ในการตัดสินใจว่า ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาเคมีบำบัดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลการทดสอบที่ได้
การตรวจและทดสอบเหล่านี้ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุดมากขึ้น ทั้งในเรื่องของการใช้ยาเคมีบำบัดหรือการเลือกวิธีการรักษาอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับแต่ละผู้ป่วย โดยการใช้ข้อมูลจากพันธุกรรมช่วยให้การรักษามีความแม่นยำและลดผลข้างเคียงจากการรักษาได้มากขึ้น
การเลือกวิธีการรักษาโดยไม่ใช้ยาเคมีบำบัด การตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษามะเร็งเต้านมในปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา โดยแพทย์จะคำนึงถึงสถานการณ์เฉพาะของผู้ป่วย เช่น
- ระยะของมะเร็ง: มะเร็งในระยะแรกที่มีขนาดก้อนเล็กและยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองมักมีแนวโน้มที่ไม่ต้องใช้ยาเคมีบำบัด เนื่องจากโอกาสการกลับเป็นซ้ำน้อยกว่ามะเร็งที่มีขนาดใหญ่หรือมีการกระจายไปต่อน้ำเหลืองแล้ว
- ชนิดของมะเร็ง: มะเร็งเต้านมที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน (เช่น ER-positive, PR-positive) มักตอบสนองดีต่อการรักษาด้วยยาฮอร์โมน ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาเคมีบำบัด เพราะการใช้ยาฮอร์โมนสามารถช่วยควบคุมมะเร็งได้เป็นอย่างดี ทำให้ประโยชน์ที่ได้จากการให้ยาเคมีบำบัดลดลง
- ผลการตรวจ Recurrence Score: ผลการทดสอบ Recurrence Score จากการตรวจพันธุกรรมเช่น Oncotype DX, MammaPrint หรือการทดสอบอื่น ๆ หากได้คะแนนต่ำจะบ่งชี้ถึงความเสี่ยงในการกลับเป็นซ้ำที่ต่ำ ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการใช้ยาเคมีบำบัดได้
สรุป การรักษามะเร็งเต้านมแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Cancer Treatment) ในปัจจุบัน การรักษามะเร็งเต้านมได้มีความก้าวหน้ามากขึ้น โดยสามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละรายอย่างเฉพาะเจาะจง (Personalized Treatment) การพิจารณาผล Recurrence Score จากการตรวจทางพันธุกรรม เช่น Oncotype DX, MammaPrint, EndoPredict, PAM50, และ GenesWell BCT เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถประเมินความเสี่ยงของการกลับเป็นซ้ำของมะเร็ง และกำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงการใช้ยาเคมีบำบัดได้
การรักษามะเร็งเต้านมในแบบนี้ไม่ใช่แค่การรักษาที่ใช้แนวทางเดียวกันกับทุกคน แต่จะเน้นไปที่การวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมและลักษณะเฉพาะของมะเร็งแต่ละราย เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด และลดผลข้างเคียงที่ไม่จำเป็นจากการรักษา หากคุณหรือคนใกล้ชิดกำลังเผชิญกับมะเร็งเต้านม การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์ในการรักษามะเร็งเต้านมจะช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำและเลือกแนวทางการรักษาที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับตัวเอง
สนับสนุนข้อมูลโดย: นพ.ณัฐชดล กิตติวรารัตน์ ว.35290 แพทย์เฉพาะทางอายุรศาสตร์มะเร็งวิทยาและเคมีบำบัด