ความเครียดและโรคเครียด ความแตกต่างที่ต้องรู้

พญ.เต็มหทัย เริ่มต้นด้วยการอธิบายความหมายของ ‘ความเครียด’ และ ‘โรคเครียด’ เพื่อให้เราเข้าใจความแตกต่างอย่างชัดเจน เริ่มจาก ‘ความเครียด’ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราต้องเผชิญกับสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดภาวะทางใจหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่นเวลาที่เราต้องอ่านหนังสือหนักๆ อาจทำให้เรารู้สึกปวดหัว มึน หรือไม่อยากทานอาหาร ซึ่งถือเป็นความเครียดที่พบได้ทั่วไป


แต่เมื่อความเครียดพัฒนาไปเป็น ‘โรคเครียด’ หรือ ภาวะปรับตัวผิดปกติ (Adjustment order) อาการจะมีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น หากความเครียดจากการสอบทำให้เราไม่อยากพบปะเพื่อน หรือเริ่มเก็บตัวและรู้สึกเศร้า จนไม่สามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ หรือในวัยทำงานที่เมื่อเกิดความเครียดแล้วนำไปสู่พฤติกรรมและอารมณ์ที่เปลี่ยนไป เช่น ไม่อยากทำงาน ทำงานแล้วสมาธิลด ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อารมณ์แปรปรวน นั่นแสดงว่าเราอาจกำลังเผชิญกับ ‘โรคเครียด’

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าเราแค่เครียด หรือเป็นโรคเครียด
ทุกคนมีระดับความสามารถในการรับมือกับความเครียดที่แตกต่างกัน บางคนอาจจัดการได้ดีและรู้สึกว่าความเครียดนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อไหร่ที่ความเครียดเริ่มส่งผลกระทบต่อด้านต่างๆ ของชีวิต เช่น งาน การเรียน หรือความสัมพันธ์ อาจบ่งบอกได้ว่าเราเข้าสู่ภาวะโรคเครียด ดังนั้น เราควรหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงจากคนรอบข้าง เช่น หากคุณได้รับข้อคิดเห็นว่า “ดูไม่ค่อยมีสมาธิเลย” หรือ “ทำไมช่วงนี้อารมณ์ไม่ดีตลอด?” สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า เราอาจต้องการการช่วยเหลือ การตรวจสอบและขอคำปรึกษาจากผู้ชำนาญการตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากกว่าเดิม

 

ความน่ากังวลของโรคเครียด "โรคเครียดเป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและวัยรุ่น ซึ่งมักพบในกรณีของแรงกดดันจากการทำงาน หรือการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน"

ความน่ากังวลของโรคเครียดขึ้นอยู่กับการตอบสนองของเรา เริ่มต้นจากการกระทบที่ชัดเจนทั้งทางด้านจิตใจ อารมณ์ และพฤติกรรม หากเราตระหนักถึงอาการและเข้ารับการดูแลจากแพทย์ได้อย่างทันท่วงที โรคเครียดจะไม่น่ากังวลมากนัก ทว่าหากปล่อยไว้นานโดยไม่เร่งรักษา อาจทำให้โรคเครียดพัฒนาเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้น เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือโรคไบโพลาร์ จุดนี้เองสะท้อนให้เห็นว่าโรคเครียดสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพจิตที่ใหญ่ขึ้นได้

 

แนวทางในการจัดการความเครียด

เมื่อต้องเผชิญกับความเครียด การพยายามคิดหาทางแก้ปัญหาเองอาจทำให้รู้สึกหมกมุ่นและไม่สามารถหาทางออกได้ง่าย ซึ่งแนวทางที่ พญ.เต็มหทัย แนะนำคือ การนำความเครียดออกมาทำให้เป็นรูปธรรม เช่น ใช้การเขียนอารมณ์ความรู้สึกออกมาในรูปแบบของ Mind Map หรือเขียนเป็นไดอารีเพื่อระบุว่าความเครียดมาจากไหน และเราใช้วิธีการไหนในการแก้ไข

 

ขั้นตอนแรกคือการค้นหาสาเหตุของความเครียด เพื่อประเมินว่าความเครียดนี้เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้หรือไม่ หากเป็นปัญหาที่แก้ได้ เราต้องฝึกวิธีแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากเป็นปัญหาที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา เช่น ปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ การฝึกปล่อยวางและทำใจ เป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการจัดการกับความเครียดนั้น


โรคเครียดหรือภาวะการปรับตัวผิดปกติ เป็นหนึ่งในโรคทางสุขภาพจิต แต่เป็นโรคเริ่มต้นที่สามารถหายเองได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยา โรคนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่มีตัวกระตุ้น ภายในระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งเราสังเกตได้ จริงๆ ทุกคนเราอาจจะผ่านโรคเครียดมาแล้วก็ได้ เพราะเมื่อความเครียดมันหายไป มันก็จะหายเองภายใน 6 เดือน โดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเราเป็นโรคเครียดมาก่อน

 

จุดไหนที่ควรจะเริ่มเข้ามาพบแพทย์
หมอคิดว่าจุดที่เรารู้สึกว่าเราเริ่มที่จะไม่เข้าใจตัวเอง เริ่มมีความคิดวกไปวนมา วิธีการแก้ไขปัญหาความเครียดแบบเดิมๆ ที่เคยใช้ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเดิมได้อีกแล้ว การพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้เราได้รับการสนับสนุนและคำแนะนำที่ถูกต้อง ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามไปมากกว่านี้

 

แล้วเราควรจะไปพบใคร ระหว่างจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา 
เมื่อทราบแล้วว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะรีบพบแพทย์ ประเด็นคำถามต่อมาที่น่าสนใจคือ แล้วเราควรไปพบใครระหว่างจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยา ซึ่งทาง พญ.เต็มหทัย ได้อธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า การเลือกแพทย์เฉพาะทางขึ้นอยู่กับความสะดวกและความสบายใจของเรา ในบริบทประเทศไทย ความเปิดกว้างในการเข้าถึงการรักษาเป็นสิ่งสำคัญ หากรู้สึกไม่สบายใจหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพจิตของคุณ การพบกับนักจิตบำบัดอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะพวกเขาสามารถช่วยให้คุณเข้าใจและจัดการกับปัญหาโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา ซึ่งอาจช่วยให้คุณรู้สึกสบายใจมากขึ้น หากหลังจากนั้นยังรู้สึกว่าต้องการคำแนะนำทางการแพทย์เพิ่มเติม การพบแพทย์จิตเวชเพื่อประเมินและรักษาอาการที่ลึกซึ้งกว่าก็เป็นทางเลือกที่ดี ทั้งนี้ การเลือกแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางควรขึ้นอยู่กับความสะดวกใจของคุณและสิ่งที่คุณรู้สึกว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพจิตของคุณมากที่สุด

 

ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพจิต โรงพยาบาลนวเวช พื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

ในสังคมไทย การเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตยังคงมีความท้าทาย เนื่องจากความเข้าใจและการยอมรับที่ไม่เต็มที่ หลายคนอาจรู้สึกว่าการไปพบจิตแพทย์เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ หรือเป็นการเปิดเผยตัวตนในด้านที่ไม่พึงประสงค์ จึงทำให้ละเลยการเข้ารับการรักษาหรือปรึกษาผู้ชำนาญการ แม้จะมีความรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวล


เพื่อช่วยลดความกังวลนี้ และทำให้การดูแลสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพจิต โรงพยาบาลนวเวช จึงถูกออกแบบมาเพื่อให้คุณรู้สึกปลอดภัย และสบายใจตลอดกระบวนการรักษา การเลือกสถานพยาบาลที่คุณรู้สึกสบายใจนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง ศูนย์นี้มีทีมเฉพาะทางที่มีความชำนาญการและประสบการณ์สูงในการดูแลสุขภาพจิต ทั้งยังมีเทคนิคการบำบัดที่ทันสมัยและได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ เช่น การบำบัดด้วยการพูดคุย (Narrative Therapy) และการทำสมาธิ ดนตรีบำบัด เป็นต้น


พญ.เต็มหทัย เน้นย้ำถึงความสำคัญของบรรยากาศในการฟื้นฟูว่า "บรรยากาศที่เงียบสงบและเป็นกันเองที่ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพจิต โรงพยาบาลนวเวช เป็นสิ่งที่เอื้อต่อการฟื้นฟูและการรักษาสุขภาพจิต ผู้ป่วยจะรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลายเมื่อเข้ารับการรักษากับเรา นอกจากนี้ การให้คำปรึกษาและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องยังเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยสามารถจัดการกับปัญหาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”  ด้วยความโดดเด่นเหล่านี้ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพจิต โรงพยาบาลนวเวช จึงเป็นที่ยอมรับและไว้วางใจในวงการแพทย์ เป็นที่พึ่งพิงสำหรับผู้ที่ต้องการการดูแลด้านสุขภาพจิตอย่างมืออาชีพอย่างแท้จริง

 

เติมพลังกายและใจ เคล็ดลับจัดการความเครียดอย่างยั่งยืน

แนวทางการป้องกันความเครียด ด้วยการหันมาดูแลตัวเองถือเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มต้นจากสุขภาพกาย การนอนหลับที่้เพียงพอ และการพักผ่อนอย่างเต็มที่จะช่วยให้สมองได้ฟื้นฟูและควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ ตลอดจนการออกกำลังกาย ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยลดความเครียดได้ เนื่องจากมีการหลั่งสาร Endorphin ที่ช่วยให้สมองรู้สึกผ่อนคลาย มีความรู้สึกดีและสบายตัว

 

ด้านจิตใจ การเข้าใจและรู้จักตัวเองเป็นสิ่งที่จำเป็น หากพบว่ามีปัญหาที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ หรือรู้สึกท้อแท้ ควรพิจารณาปรึกษาผู้ชำนาญการเฉพาะทาง การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราเข้าใจปัญหาและหาวิธีการจัดการที่เหมาะสม

 

ความเครียดเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเผชิญได้ แต่เมื่อความเครียดเริ่มเป็นปัญหาที่เราควบคุมไม่ได้ อยากให้เข้ามาปรึกษาหมอด้วยความคิดที่ว่า หมอเป็นเพื่อนที่จะมาแชร์ปัญหา และหาทางออกร่วมกัน และมากกว่านั้นการมาหาหมอจะทำให้เราเข้าใจตัวเเองมากขึ้น และจะมีวัคซีนที่ป้องกันตัวเองไปได้ตลอดชีวิต พญ.เต็มหทัย ทิ้งท้าย