สุขภาพหัวใจที่ดี เป็นเรื่องที่ควรดูแลใส่ใจ เพื่อให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
‘หัวใจ’ เป็นเรื่องภายในที่ต้องได้รับการใส่ใจดูแลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการสนับสนุนให้หัวใจสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี เราจึงต้องหมั่นตรวจสุขภาพหัวใจอยู่เป็นประจำ
ถึงแม้โรคหัวใจจะครองสถิติการเสียชีวิตเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยและของโลก แต่ถ้าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โรคหัวใจก็สามารถป้องกันและรักษาได้ บทความโดย พญ.ณหทัย ฉัตรสิงห์ อายุรแพทย์โรคหัวใจ ศูนย์โรคหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลนวเวช นำข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่อง ‘หัวใจ’ มาอธิบายให้เข้าใจง่าย โดยเน้นไปที่ความสำคัญของการตรวจสุขภาพหัวใจ รูปแบบการตรวจ รวมไปถึงแนวทางในการป้องกันและดูแลเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
การตรวจสุขภาพหัวใจมีความสำคัญอย่างไร
หัวใจเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งหัวใจเป็นอวัยวะที่ต้องทำงานตลอดเวลา เมื่อเวลาผ่านไปการทำงานของหัวใจก็จะเริ่มเสื่อมลง ซึ่งอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจนับเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกมาโดยตลอด ดังนั้นการตรวจสุขภาพหัวใจจึงมีความจำเป็น เพื่อค้นพบปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและรักษาก่อนที่จะมีอาการรุนแรง
การตรวจสุขภาพหัวใจมีกี่ประเภท
1. การตรวจสุขภาพหัวใจ เครื่องมือแรก คือ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography: EKG, ECG) เป็นการตรวจคัดกรองที่ง่าย ไม่มีความเจ็บปวด สะดวกรวดเร็ว ใช้เวลาประมาณ 5 นาที โดยใช้วิธีการติดแผ่น Electrode ที่หน้าอก เพื่อจับสัญญาณไฟฟ้าที่ออกจากหัวใจ ผลของการตรวจจะบันทึกออกมาในรูปแบบของกราฟแสดงคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจชนิดนี้สามารถบอกภาวะหัวใจที่เต้นผิดจังหวะบางชนิด บอกลักษณะเส้นเลือดหัวใจที่ตีบ หรือลักษณะโครงสร้างหัวใจที่ผิดปกติได้
2. การเดินสายพาน หรือเรียกย่อๆ ว่า EST (Exercise Stress Test) เป็นวิธีการตรวจที่ให้ผู้ตรวจออกกำลังกาย พร้อมทั้งติดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยจะสามารถประเมินสมรรถภาพของหัวใจ ความแข็งแรงของร่างกาย คัดกรองเส้นเลือดหัวใจตีบ และโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะระหว่างการออกกำลังกาย หรือดูความดันโลหิตสูงระหว่างการออกกำลังกายที่อาจจะเป็นข้อห้ามของการออกกำลังกายได้
3. การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ หรืออัลตราซาวด์หัวใจ (Echocardiogram) เป็นการตรวจโดยใช้คลื่นเสียง เพื่อดูการทำงานของหัวใจ จะเห็นลักษณะหัวใจ ขนาดหัวใจ การบีบตัว การคลายตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ลิ้นหัวใจ และเยื่อหุ้มหัวใจ โดยการตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจใช้เวลาสั้น ๆ ประมาณ 15-30 นาที ไม่มีอันตราย และไม่มีความเจ็บปวด
4. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อหาแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Calcium Scan ; CAC) เพื่อดูแคลเซียมในผนังของเส้นเลือดหัวใจ เป็นการตรวจวิธีใหม่ ซึ่งการตรวจทำได้ง่ายใช้เวลาประมาณ 15 นาที ไม่ต้องอดอาหาร ไม่ต้องเจาะเลือด ไม่ต้องฉีดสารทึบรังสี หลักการคือ ถ้าเส้นเลือดหัวใจเริ่มมีความเสื่อมจะเกิดการอักเสบและเกิดลักษณะคล้ายแผลเป็นที่เรียกว่า ‘แคลเซียม’ ดังนั้นถ้ายังไม่พบแคลเซียมในเส้นเลือดหัวใจโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจน้อยกว่า 1% ใน 10 ปี ซึ่งถือว่าต่ำมาก ดังนั้น การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จะใช้ตรวจในคนที่มีความเสี่ยงกับการเกิดโรคหัวใจที่ต้องการดูว่าจำเป็นที่ต้องรักษา หรือป้องกันการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจ
ควรป้องกัน และดูแลรักษาไม่ให้เกิดโรคหัวใจอย่างไร
‘โรคหัวใจ’ เป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาได้ โดยการป้องกันการเกิดโรคหัวใจต้องเริ่มจากการดูแลสุขภาพ ตั้งแต่การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลดการสูบบุหรี่ และพยายามควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต และไขมันในเลือดสูง ซึ่งโรคหัวใจรักษาได้ ถ้ามาตรวจคัดกรองสุขภาพหัวใจก่อนที่จะมีอาการรุนแรง และสามารถช่วยดูแลหัวใจให้แข็งแรงไปนาน ๆ
สนับสนุนข้อมูลโดย : พญ.ณหทัย ฉัตรสิงห์
อายุรแพทย์โรคหัวใจ ศูนย์โรคหัวใจและทรวงอก
คลิก > โปรแกรมตรวจสุขภาพหัวใจ