การตรวจมะเร็งเต้านม Breast Cancer

มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งของมะเร็งในผู้หญิง สถิติปัจจุบันพบ 30-40คนต่อประชาการ 100000คน  พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยผู้ชายพบได้เพียง 1% ของมะเร็งในผู้ชาย พบมากในช่วงอายุ 45-50ปี เกิดจากหลายสาเหตุทั้งกรรมพันธุและความผิดปกติที่เกิดขึ้นเองภายหลัง   

 

 

ปัจจัยเสี่ยง 

 

1. ประวัติมะเร็งเต้านมหรือรังไข่ในญาติใกล้ชิด ได้แก่ แม่ พี่สาว หรือน้องสาว 
 

2. เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน 
 

3. มีประวัติยีนผิดปกติ (Gene mutation) ได้แก่ ยีน BRCA1 และ BRCA2 
 

4. ผู้หญิงที่ไม่มีบุตรหรือมีคนแรกขณะอายุมากกว่า 30 ปี 
 

5. ผู้หญิงที่ประจำเดือนมาเร็วและหมดประจำเดือนช้า หรือใช้ยาฮอร์โมนทดแทนเป็นเวลานายกว่า 10 ปี 
 

6. เคยฉายแสงบริเวณทรวงอก   

 

 

 

แนวทางการตรวจเต้านม 

 

1. ตรวจเต้านมด้วยตนเอง เดือนละ 1ครั้ง เมื่ออายุ> 20 ปี 
 

2. ตรวจเต้านมโดยแพทย์ ทุก 3 ปี ตั้งแต่อายุ 20 ปี เป็นต้นไป หลังจากอายุ 40 ปี ควรได้รับการตรวจทุก 1 ปี 
 

3. ควรทำแมมโมแกรม และ/หรือ อัลตราซาวน์ ในช่วงอายุ 35- 40 ปี 1 ครั้ง หลังจากอายุ 40 ปี เป็นต้นไป ควรทำทุก 1 ปี 
 

4. หากมีประวัติญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ ควรเริ่มทำการตรวจตั้งแต่อายุที่ญาติเป็น ลบออก 5 ปี   
 

 

 

วิธีการตรวจเต้านมด้วยตนเอง 

 

1. ตรวจเป็นประจำทุกเดือน โดยตรวจหลังประจำเดือนมา 7-10วัน นับจากวันแรกของการมีประจำเดือน และตวจในวันเดือนกันของทุกเดือน 
 

2. ยืนหน้ากระจก เพือดูการเปลี่ยนแปลงเต้านมทั้ง2ข้าง ทั้ง ขนาด รูปร่าง หัวนม ลักษณะผิวหนัง
 

3. ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะทั้ง 2 ข้าง แล้วหมุนตัวช้าๆ เพื่อดูด้านข้าง 
 

4. ใช้มือเท้าเอวและโน้มตัวลงด้านหน้า 
 

5. ใช้นิ้วมือบีบที่หัวนมเบาๆ ดูว่ามีน้ำ เลือด หรือหนองไหลออกมาหรือไม่ 
 

6. เริ่มคลำเต้านมในท่ายืน โดยใช้มือซ้ายตรวจเต้านมขวาใช้นิ้ว 3 นิ้ว ได้แก่ นิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วนาง ค่อยๆ กดลงบนผิวหนังให้ทั่วเต้านมไปจนถึงรักแร้ หลังจากนั้นให้เปลี่ยนคลำอีกข้างแบบเดียวกัน
 

7. นอนหนุนหมอนใต้ไหล่ข้างที่จะตรวจ แล้วคลำเต้านมด้วยวิธีการเดียวกับท่ายืน    
 

 

 

ความผิดปกติที่ควรรีบพบแพทย์ 

 

1. คลำได้ก้อนบริเวณเต้านมหรือรักแร้
 

2. หัวนุ่มบุ่มหรือมีแผล 
 

3. ผิวหนังเปลี่ยนแปลง เช่นบุ๋มลง หนา แดงร้อน หรือเปลี่ยนสี 
 

4. เต้านมมีขนาดหรือรูปทรงเปลี่ยนแปลง 
 

5. มีเลือดหรือน้ำไหลออกจากหัวนม 
 

6. มีแผลที่หายยากบิเวณเต้านมและหัวนม 
 

   

 

การตรวจเต้านม 

 

1. แมมโมแกรม เป็นการตรวจทางรังสีชนิดพิฌศษคล้ายเอกเรย์ เริ่มทำที่อายุ 35-40 ปีในรายที่ไม่มีอาการ และทุกปีเมื่ออายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไป ใช้ตรวจหาก้อนขนาดเล็ก หินปูน การดึงรั้งของเต้านม 
 

2. อัลตราซาวน์เป็นการตรวจโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ตรวจได้ในทุกช่วงอายุ สามารถตรวจดูก้อน ถุงน้ำ ท่อน้ำนม และต่อมน้ำเหลือง ซึ่งจะตรวจควบคู่กับแมมโมแกรมในผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 40 ปี แต่ไม่สามารถทดแทนการตรวจแมมโมแกรมได้เนื่องจากไม่สามารถดูหินปูนได้ 
 

3. MRI ทำในรายที่มีความเสี่ยงสูง เต้านมหนาแน่นมาก หรือตรวจพบความผิดปกติจากแมมโมแกรมและอัลตราซาวน์มาก่อน 
 

4. การเจาะชิ้นเนื้อเมื่อมีการตรวจพบความผิดปกติของเต้านม แพทย์จะมีการพิจารณาส่งตวจทางพยาธิวิทยา โดยการใช้เข็มเจาะชิ้นเนื้อผ่านเครื่องมือระบุตำแหน่ง ได้แก่เครื่องอัลตราซาวน์หรือ แมมโมแกรม เพื่อเจาะได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ     

 

 

 

สนับสนุนข้อมูลโดย พญ.ชุตินันท์ วัชรกุล 

แพทย์เฉพาะทางด้านรังสีวิทยาวินิจฉัย – ภาพรังสีวินิจฉัยชั้นสูงและรังสีร่วมรักษาของเต้านม 

Advanced Diagnostic Breast Imaging and Intervention